จากภาพวัยเด็ก สู่เรื่องราวสุดสวยงาม สตีเวน สปีลเบิร์ก สู่หนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด The Fabelmans

 

 

จากภาพวัยเด็ก สู่เรื่องราวสุดสวยงาม สตีเวน สปีลเบิร์ก

สู่หนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด The Fabelmans

 

ตลอดหลายปีมานี้ สตีเวน สปีลเบิร์ก พูดถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขาได้สร้างเอาไว้ตอนเป็นวัยรุ่นอยู่ในอริโซน่า ซึ่งเขาสร้างกับเพื่อนๆ และครอบครัวของเขา รวมถึงภาพยนตร์คาวบอยความยาว 8 นาทีเรื่อง The Last Gun, ภาพยนตร์สงครามความยาว 40 นาทีเรื่อง Escape to Nowhere, Fighter Squad และ Firelight ซึ่งเป็นภาพยนตร์ไซไฟความยาว 135 นาที ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับยูเอฟโอ ถูกสร้างขึ้นด้วยทุน $500 ดอลล่าร์ และต่อมาได้กลายมาเป็นพื้นฐานให้กับภาพยนตร์ของ สปีลเบิร์ก ที่ใช้ทุนสร้างมากขึ้นอย่าง Close Encounters of the Third Kind

 

ใน The Fabelmans เรื่องราวของแซมมี่ก็คือการนำเอาเรื่องราวงานสร้างภาพยนตร์ในวัยเด็กของสปีลเบิร์กมาทำให้เป็นเรื่องดราม่า ตั้งแต่ความพยายามแรกเริ่มของเขาที่บันทึกภาพรถไฟของเล่นตกรางตอนที่เขายังเป็นเด็ก ไปจนถึงงานที่มีความปราณีตมากขึ้น อย่างเช่น The Last Gun (หรือใช้ชื่อว่า Gunsmog ในภาพยนตร์เรื่อง The Fabelmans) และ Escape to Nowhere (The Fabelmans ยังมีภาพยนตร์ของ แซมมี่ เรื่อง Fighter Squadron ซึ่งอิงมาจากภาพยนตร์เรื่อง Fighter Squad ของสปีลเบิร์ก)
การสร้างภาพยนตร์ของ แซมมี่ เฟเบิลแมนส์ และการถ่ายทำภาพยนตร์ สำหรับ The Fabelmans จำต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสม สตีเวน สปีลเบิร์ก และโทนี่ คุชเนอร์ อยากเห็นความก้าวหน้าของ แซมมี่ ตั้งแต่การใช้กล้องโดม 8 มม.ของยุคนั้น อย่างเช่นกล้อง Kodak Brownie, กล้อง Eumig และกล้อง Bolex เพื่อแสดงให้เห็นถึงความชำนาญงานทางด้านเทคนิคที่เพิ่มมากขึ้นของเขา 

 

 

กล้องเหล่านี้แต่ละตัวก็คือตัวแทนของกล้องที่ สปีลเบิร์ก เคยใช้สร้างภาพยนตร์ของเขา ถึงแม้เขาจะบอกให้ แอนดรูว์ ซีเกล ที่คอยดูแลจัดหาของประกอบฉาก ให้หากล้อง Bolex ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย และมีเลนส์ซูมที่เปลี่ยนเลนส์ได้ เพื่อให้เขาสามารถแสดงให้เห็นถึงความชำนาญที่พัฒนาขึ้นของแซมมี่ในเรื่องของเทคโนโลยี สำหรับฉากวันสำเร็จการศึกษา แซมมี่ กระโดดไปใช้กล้อง 16 มม. โดยเป็นกล้อง Arriflex 16S ซึ่งเป็นกล้องที่พวกนักศึกษาภาพยนตร์ และพวกมืออาชีพใช้กันในยุคนั้น และเป็นตัวจุดความสนใจของ แซมมี่ ในงานสร้างภาพยนตร์ สปีลเบิร์ก ยังต้องการให้ แซมมี่ ตัดต่อภาพยนตร์ของเขาด้วยเครื่อง Manette 8mm ซึ่งเป็นเครื่องมือแบบเดียวกับที่เขาใช้ตอนเป็นเด็ก แต่มันเป็นของที่ไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ในยุคปัจจุบัน “ผมมีความสุขมาก เพราะผมหาเครื่องนั้นเจอในอีเบย์ในสภาพที่สวยมากๆ ครับ” ซีเกลบอก “มันอยู่ในสภาพที่ดีมากจริงๆ เหมือนกับของใหม่เลย ในสคริปต์มันจะต้องเป็นเครื่องใหม่ จากนั้น เมื่อ สตีเวน เห็นมัน เขาพูดว่า ‘เอ่อ...จอมันเล็กไปหน่อย เราน่าจะใช้จอที่ใหญ่กว่านี้นะ’” พวกเขาลงเอยด้วยการใช้เครื่องตัดต่อ Mansfield Fairfield 8mm Action Editor และติดตั้งปรับแต่งให้มันสามารถสนองความต้องการของพวกเขาได้

เมื่อถึงเวลาต้องสร้างภาพยนตร์ของ แซมมี่ เรื่อง Gunsmog และ Escape to Nowhere สปีลเบิร์กได้ถ่ายภาพด้วยตัวเองเยอะมาก “ผมอยากถือกล้อง 8 มม. ผมอยากถ่ายมุมต่างๆ” สปีลเบิร์กเล่า “มันคือความสนุกอย่างแท้จริงที่สามารถรำลึกถึงอดีตด้วยกล้อง 8 มม.ของจริงที่อยู่ในมือของผมครับ” 

สปีลเบิร์กยอมรับว่า คุณภาพของภาพยนตร์ของ แซมมี่ ใน The Fabelmans ดีกว่าภาพยนตร์ที่เขาสร้างในอดีตมาก “ผมอยากให้ผมมีโอกาสได้สร้างภาพยนตร์ 8 มม.ของผมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในระดับมือสมัครเล่นที่ผมเคยถ่ายมันตอนผมยังเป็นเด็กครับ” สปีลเบิร์กกล่าว “แต่ผมไม่สามารถหาที่วางกล้องในปี 2021 ได้ดีกว่าตำแหน่งที่ผมเคยวางกล้องในปี 1961 ได้ ผมแค่อดใจเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ”

 

 

คุณภาพที่เหนือกว่า เหมาะกับเป้าหมายในการเล่าเรื่องอย่างมาก “เราจำต้องทำภาพยนตร์ของ แซมมี่ ให้ออกมาดี เพื่อสื่อสารกับคนดูว่า คนที่กำลังสร้างหนังพวกนี้ขึ้นมามีความสามารถตั้งแต่เด็กครับ” คามินสกี้อธิบาย อย่างไรก็ดี สำหรับภาพฟุตเตทที่นำมาใช้ จำต้องถ่ายทำด้วยกล้องที่ไม่ต่ำไปกว่ากล้อง 16 มม. ดังนั้น สปีลเบิร์กและคามินสกี้ จึงถ่ายฟุตเตทด้วยกล้อง 8 มม. และ 16 มม. 

ภาพฟุตเตทที่ถูกใช้เป็นภาพอ้างอิง กลายเป็นแนวทางให้กับการทำงานเพื่อให้ได้ภาพฟุตเตทที่ดูเหมือนกับงานภาพจากกล้อง 8 มม. ตามที่ คามินสกี้ บอก ผลลัพธ์ก็คือภาพยนตร์ที่ดูเหมือนเป็นงานของมือสมัครเล่น และเป็นงานที่สร้างในบ้าน แต่ด้วยคุณภาพของตัวภาพยนตร์ก็ช่วยบ่งบอกถึงความสามารถของแซมมี่ และสอดคล้องไปกับสุนทรียศาสตร์ของสปีลเบิร์กและคามินสกี้ด้วย

 

 สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่ายๆเพียงแค่คลิก ที่นี่