HIGHLIGHT CONTENT

ผู้กำกับพูดถึงการเดินทางของฮีโร่ผู้ใกล้จะลับขอบฟ้า ใน Indiana Jones and the Dial of Destiny

  • 958
  • 20 ธ.ค. 2022

ในตอนนี้ ความคาดหวังและความสงสัยของแฟน ๆ ในตัวภาพยนตร์ล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าภาคใหม่ที่กำลังจะเดินทางมาถึงต่างมุ่งไปที่เจ้า “Dial of Destiny” หรือ “นาฬิกาแห่งโชคชะตา” แต่ผู้กำกับ James Mangold (Ford v Ferrari) ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยว่าความลับของเจ้านาฬิกานี้คืออะไร

“ผมคงบอกไม่ได้หรอก เพราะว่าผมไม่อยากจะสปอลย์หนังทั้งเรื่อง” เขาให้สัมภาษณ์กับ Entertainment Weekly

“แต่ว่ามันมีวัตถุโบราณบางอย่างที่หนังที่มีพลังบางอย่าง หรืออาจจะมีพลังแบบนั้นอยู่รึเปล่า? ซึ่งมันมีพื้นฐานมาจากประวัติศาสตร์และการคาดเดาทางวิทยาศาสตร์? คำตอบคือ ใช่”

ภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายในฤดูร้อนปีหน้า เป็นภาคที่ห้าในเฟรนไชส์อันเป็นที่รักของ Harrison Ford และเป็นภาคแรกที่กำกับโดยผู้กำกับชาวอเมริกันวัย 59 ปี ที่รับหน้าที่ต่อมาจากผู้กำกับอาวุโสอย่าง Steven Spielberg โดยเป็นเรื่องราวที่สานต่อมาจากภาคที่สี่อย่าง Kingdom of the Crystal Skull (2008) ที่ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ มากนัก ซึ่งตัวละครหลักตัวหนึ่งในภาคดังกล่าว คือ ชายผู้รักการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเป็นลูกของอินดี้อย่าง Mutt ที่รับบทโดย Shia LaBeouf (Transformers) ผู้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ มากเท่าใดนัก ประกอบกับตัวนักแสดงวัย 36 ปี ก็ออกมาวิพากย์วิจารณ์ทั้งตัวภาพยนตร์และตัวผู้กำกับหลังจากภาพยนตร์ออกฉาย โดยได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่าตัวละครของ LaBeouf จะไม่ปรากฏตัวใน Dial of Destiny และผู้กำกับ James Mangold ก็ได้ให้สัญญาไว้ว่าผู้ชมจะได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ก็ไม่ขอเปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้

สิ่งที่ผู้กำกับที่เคยมีผลงานในภาพยนตร์ลาจอในบท Wolverine ของ Hugh Jackman อย่าง Logan (2017) ได้เปิดเผยว่าฉากเปิดตัวของภาพยนตร์อยู่เริ่มต้นในปี 1944

“มันจะเป็นฉากแอคชันคลาสสิคของอินดี้ ผมจะทำหน้าที่ในการเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะเป็นได้ของ Steven Spielberg และ Harrison Ford ก็จะทำหน้าที่ในการเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของเขาตอนอายุยังไม่ถึง 40” โดยเราจะได้เห็นในตัวอย่างภาพยนตร์ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ว่ามีฉากเปิดตัวบางส่วนที่ได้ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ลดอายุของนักแสดงมากประสบการณ์วัย 80 ปีลง


หลังจากนั้นช่วงเวลาในภาพยนตร์จะพลิกไปที่ปี 1969 ซึ่งเป็นเวลาที่เรื่องราวส่วนใหญ่จะเกิดขึ้น ถ้าหากเรามองย้อนไปในไตรภาคแรก ล้วนแล้วแต่มีฉากหลังอยู่ในทศวรรษ 1930s ผู้กำกับจากนิวยอร์คได้เปิดเผยว่าเขาหลงไหลใน “ความเชื่อมโยงอันมหัศจรรย์ระหว่างเทคนิคการผลิตภาพยนตร์ในยุคดังกล่าวหลายเรื่อง และในยุคสมัยก็เป็นนั้นเป็นภาษาของภาพยนตร์ในตัวของมันเองด้วย”

และก็มีความท้าทายในการที่จะนำตัวละครจากโลกเก่ามาสู่โลกใหม่

“สิ่งที่ผมอยากจะสื่อ คือ 1969 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่ ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและการแข่งขันในการท่องอวกาศ” เขาให้ความคิดเห็น

“ดังนั้นเราจึงได้เห็นสงครามเย็น, อาวุธนิวเคลียร์, ทฤษฎีสมคบคิด และเส้นแบ่งระหว่างขาวกับดำที่เลือนราง เช่นเดียวกัน คุณจะต้องคิดให้ดีเกี่ยวกับการที่คุณพยายามจะโยกย้ายเส้นแบ่งระหว่างขาวกับดำที่เคยเป็นเรื่องง่าย ไปสู่ช่วงเวลาที่ซับซ้อนกว่า เราจะพยายามใช้ประโยชน์จากการกระโดดข้ามไปในปี 1969 ของฮีโร่ผู้เคยอยู่ในโลกของสีขาวดำ [ที่จะพบว่าตัวเอง] อยู่ในโลกที่เป็นสีเทาไปแล้ว”

ในโลกใหม่นี้ อุดมคตินิยมเกี่ยวกับวิทยาศาตร์และรัฐบาลได้เลือนรางไป ทุกคนล้วนแล้วแต่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกกันว่าฮีโร่ และความแก่ชราก็ได้ตามเกาะกิน Indiana Jones

ซึ่งที่ตรงจุดนี้เองตัวละคร Helena ผู้เป็นลูกทูนหัวของอินดี้ของจะถูกนำเสนอเข้ามา โดยรับบทโดยดาราสาวหน้าใหม่ในเฟรนไชส์อย่าง Phoebe Waller-Bridge ที่โด่งดังมาจากซีรีส์ตลกร้ายอย่าง Fleabag (2016-2019) ผู้กำกับ James Mangold ได้อธิบายว่าตัวละครนี้จะเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญสำหรับภาพยนตร์

“เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนของอินดี้ คนที่เราจะได้เจอในภาพยนตร์ด้วย” เขาบอก

“Helena ไปเจอกับปัญหาบางอย่างเข้า แล้วเธอก็พาปัญหานั้นมาถึงตัวอินดี้ด้วย เธอเป็นตัวละครมีความขัดแย้งที่มหัศจรรย์ ทั้งน่าดึงดูดและฉลาดเฉลียว แต่ว่าก็เป็นตัวปัญหาอย่างหนักด้วย”

ผู้กำกับมากฝีมือยังบอกอีกด้วยว่า เขาหวังว่าการเข้ามาของ Helena จะมาช่วยทำให้ Dial of Destiny กลายเป็นการผจญภัยสุดแสนจะคลาสสิคของอินดี้ที่อยู่ในฉากหลังที่เป็นองค์ประกอบของยุค '60s โดยจะได้ John Rhys-Davies (The Lord of the Rings: The Return of the King) กลับมารับบท Sallah ที่เราเคยพบเจอกันมาก่อนแล้วในภาพยนตร์ภาคที่สาม และยังได้ Antonio Banderas (Uncharted), Shaunette Renee Wilson (Black Panther), Thomas Kretschmann (King Kong), Toby Jones (Tinker Tailor Soldier Spy), Boyd Holbrook (Logan) และ Mads Mikkelsen (The Hunt) มารับบทเป็นตัวร้ายหลัก Voller

ผู้กำกับผู้เคยถูกเสนอชื่อเขาชิงรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง ก็ยังไม่ลืมความสำคัญของตัวละคร Indiana Jones ที่มีต่อแฟน ๆ ซึ่งรวมถึงตัวเขาด้วย เขาให้นิยาทของตัวละครนี้ว่า “เป็นฮีโร่ผู้มีความพิเศษซึ่งเป็นปรากฎการณ์” และ “เป็นเนิร์ดผู้เฉลียวฉลาดที่น่าทึ่ง”

“เขาเป็นชายที่มีความสุขที่สุดเมื่อสวมแว่นตาอ่านหนังสือ แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจะพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจอยู่หลายครั้ง เขาใช้อาวุธที่แปลกประหลาดเพื่อปกป้องตัวเอง เขาจะหาทางออกจากปัญหาต่าง ๆ ด้วยความคิดอันชาญฉลาดของเขา ซึ่งจะเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปจากที่ฮีโร่ในวัฒนธรรมร่วมสมัยของเรา”

โดยนักแสดงนำในบทอินดี้อย่าง Harrison Ford ก็ออกมาเปิดเผยว่า Dial of Destiny จะเป็นการกลับมาสวมหมวกนักสำรวจในการผจญภัยครั้งสุดท้ายของเขา ซึ่งผู้กำกับ James Mangold ก็ได้ออกมาพูดถึงการเปรียบเทียบระหว่างภาพยนตร์เรื่องนี้กับ Logan ที่เขาเคยคุมหางสือในการสั่งลาบทของ Wolverine ของ Hugh Jackman

“ผมมีความสนใจในความคิดเกี่ยวกับฮีโร่ผู้ที่กำลังจะลับขอบฟ้ามาตลอด” ผู้กำกับมากฝีมือบอก

“อะไรคือสิ่งที่ฮีโร่จะทำเมื่อโลกนี้ไม่มีพื้นที่ให้กับเขาอีกต่อไปแล้ว? ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากในการที่จะพยายามจะมองเข้าไปในตัวละครฮีโร่คลาสสิคหลาย ๆ ตัว ผ่านเลนส์ของการตัดสินด้วยทัศนคติแบบร่วมสมัย”

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Logan เป็น “การผจญภัยที่มีความมุ่งมั่นและเจตนาที่เคร่งขรึม, ดราม่าอย่างถึงที่สุด และตึงเครียดเป็นอย่างมาก” ผู้กำกับผู้มีผลงานขึ้นหิ้งอย่าง 3:10 to Yuma (2007) ได้เปิดเผยว่า Dial of Destiny จะแตกต่างออกไปอย่างมาก

“ผมจะไม่หลอกตัวเองว่ามันเป็นหน้าที่ของผมในการทำให้ภาพยนตร์ Indiana Jones คือการเอาชนะอารมณ์ขันของมันและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบทเพลงให้ความโศกเศร้า” เขากล่าว

“ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราพยายามจะทำ ในการทำให้มันมีความสมดุลระหว่างความแม่นยำและการประเมินคุณค่าของตัวละครด้วยความเป็นจริง ของจุดที่ตัวละครนี้จะอยู่ในห่วงเวลานี้ของชีวิตของเขา และเพื่อในการที่จะทำอย่างนั้นอย่างตรงไปตรงมาไปพร้อม ๆ กัน ด้วยการพยายามผลักดันสิ่งที่เราเปิดเผยออกมาเกี่ยวกับภาพยนตร์เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นการผจญภัยที่มหัศจรรย์และเต็มไปด้วยพลัง ที่มีฉากแอคชัน, ความกล้าหาญ ที่จะพาคุณหลุดพ้นออกจากความเครียดและเป็นทางออกที่ชาญฉลาดของปัญหาที่หนักหนาในชีวิต นั่นแหละคือภาพยนตร์ Indiana Jones”

Indiana Jones and the Dial of Destiny หรือ อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 28 มิถุนายน ที่จะถึงนี้

สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่ายๆเพียงแค่คลิก ที่นี่ 

ขอบคุณข้อมูลจาก Entertainment Weekly

อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา

  • 28 June 2023
  • Adventure / แอ็คชัน / ผจญภัย /
  • 154 นาที
15+

ข่าวที่เกี่ยวข้อง